รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ของ BMW มีการใช้เทคโนโลยีทางวิศวกรรมที่เรียกว่าปฏิวัติวงการยานยนต์ ด้วยการนำเอาวัสดุน้ำหนักเบา แต่แข็งแกร่งเทียบเท่าเหล็กอย่าง 'CFRP' (Carbon-Fibre-Reinforced-Plastic) หรือที่รู้จักในชื่อของ 'คาร์บอนไฟเบอร์' เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างห้องโดยสารมากขึ้น นอกเหนือจากเหล็กกล้า และอลูมีเนียม
'คาร์บอนไฟเบอร์' เป็นการนำเส้นใยคาร์บอนที่เล็กระดับไมครอน นับพันนับหมื่นเส้นมาถักเป็นเส้นเดียว ซึ่งหากเราดูด้วยตาเปล่าจะเห็นว่าเล็ กกว่าเส้นผมของเราซะอีก ก่อนจะนำมาทอเป็นผืนผ้าแล้วนำไปขึ้นรูปเป็นชิ้นงานต่างๆ โดยเดิมทีเราจะได้เห็นคาร์บอนไฟเบอร์ถูกใช้ในโครงสร้างอากาศยาน หรือรถแข่ง F1 เท่านั้น เพราะมีราคาที่ค่อนข้างสูง
สำหรับคุณสมบัติอันมหัศจรรย์ของ 'คาร์บอนไฟเบอร์' คือ มีความแข็งแกร่ง น้ำหนักเบา ต้านทานต่อแรงดึงสูง ทนต่ออุณหภูมิสูงได้โดยมีอัตราส่วนการขยายตัวต่ำ พูดง่าย ๆ คือถ้าเจอความร้อนสูง ก็ยังสามารถทนได้โดยไม่ขยายตัวจนผิดรูปไป อีกทั้งยังคายความร้อนได้เร็วมาก ทนต่อการกัดกร่อนจากสารเคมี และไม่ติดไฟ
ซึ่งเมื่อความมหัศจรรย์ของคุณสมบัติที่แข็งแกร่งสูง แต่มีน้ำหนักเบานี้มาอยู่ในรถไฟฟ้าของ BMW ผลลัพธ์ที่ได้คือห้องโดยสารที่มีความปลอดภัย และน้ำหนักที่ชดเชยกับแบตเตอรี่อย่างสมดุล เพื่อคงเสถียรภาพในการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม
BMW i3 และ BMW i8 คือยนตกรรมรุ่นแรกที่ใช้วัสดุไฮเทคอย่างคาร์บอนไฟเบอร์ในการผลิตโครงสร้างตัวถัง ซึ่งในปัจจุบัน BMW Group สามารถผลิตคาร์บอนไฟเบอร์ได้เอง ส่งผลให้สามารถผลิตเพียงพอกับการจำหน่ายในปริมาณมากได้ เทคโนโลยีนี้จึงถูกต่อยอดเป็น Carbon Core ที่ใช้ในโครงสร้างของ BMW รุ่นอื่น ๆ อีกด้วย
อย่างไรก็ตามการบำรุงรักษาหรือซ่อมวัสดุชนิดนี้ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ ซึ่งศูนย์ซ่อมสีและตัวถังของ มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป ประกอบด้วยทีมช่างที่มีความชำนาญด้านคาร์บอนไฟเบอร์ และมีประสบการณ์ยาวนานกว่า 20 ปี ผสานกับเครื่องมือพิเศษอันทันสมัย ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก BMW ทำให้มั่นใจได้ว่ายนตรกรรมแห่งอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าจะได้รับการดูแลในทุกส่วนอย่างครบวงจร
Powered by Froala Editor